เกมนี้ มูรินโญ่ ใช้แผนการเล่นที่น่าสนใจด้วยการจับ มารูยาน เฟลไลนี่ ลงเป็นตัวจริงคู่กับ เนมานย่า มาติช การส่งสองคนนี้เล่นร่วมกันช่วยแพ็คแดนกลางของ "ผีแดง" ให้แน่นปึ้กยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังทำให้ ปอล ป็อกบา มีอิสระในการเล่นเกมรุกได้อย่างที่ตัวเองต้องการด้วย
แมตช์นี้ "ผีแดง" มีประเด็นให้ต้องพูดถึงพอสมควรทั้งการยิงประตูทิ้งๆ ขว้างๆ ของ ลูกากู, มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จนเกือบทำให้ทีมเสียใจ และ ป็อกบา พลาดจุดโทษ อย่างไรก็ตาม การได้ 3 คะแนนน่าจะพอช่วยลดกระแสจังหวะที่น่าผิดหวังเหล่านั้นไปได้พอสมควรเลยทีเดียว
เกมรับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดนวิจารณ์อย่างหนักในช่วงต้นฤดูกาลนี้ แต่ในแมตช์ชนะ เบิร์นลี่ย์ นั้น มูรินโญ่ สามารถจัดการเรื่องเกมรับได้อย่างลงตัวอีกครั้ง
ในกรณีของ กองกลาง และกองหน้า ดูเหมือนว่า "เฮียมู" จะมีออปชั่นให้เลือกใช้งานได้อย่างหลากหลาย เขาจับ เนมานย่า มาติช คู่กับ มารูยาน เฟลไลนี่ ลงเล่นตัวจริงในแผงมิดฟิลด์เคียงข้าง ปอล ป็อกบา ซึ่ง นายใหญ่ชาวโปรตุกีส เชื่อมั่นว่านักเตะเหล่านี้จะเล่นตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของเกมรุกถือได้ว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง เจสซี่ ลินการ์ด กับ อเล็กซิส ซานเชซ เพราะทั้งสองคนได้นำพลังการทำลายล้างที่พวกเขาขาดหายไปในแมตช์แพ้ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน รวมทั้งเกมโดน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ถล่ม กลับมาอีกครั้ง
ขณะที่กองหน้าเป็นหน้าที่ของ โรเมลู ลูกากู ที่ได้ลงเล่นตัวจริง ฉะนั้นระบบ 4-3-3 ของ มูรินโญ่ พร้อมกับขุมกำลังที่ลงเล่นในแมตช์นี้ ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่ลงตัว แม้สกอร์จะขึ้นมา 2-0 แต่หากเทียบกับโอกาสที่ "ปีศาจแดง" สร้างสรรค์กันขึ้นมา ต้องยอมรับว่าถ้าพวกเขาคมกว่านี้สกอร์คงไม่ได้จบแค่สองตุงแน่นอน
2. ลูกากู กลับมาแล้ว
มูรินโญ่ เคยทิ้งวาทะเด็ดเรื่องการให้ "เกียรติ" กับตัวเขาหลังโดนสื่อยิงคำถามหนักในเกมแพ้ สเปอร์ส ย่อยยับ 0-3 โดยส่วนหนึ่งที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องพ่ายแพ้ในแมตช์นั้นก็มาจาก ลูกากู โดยเฉพาะโอกาสทองของเขาในครึ่งแรก ที่ยิ่งพลาดไปหน้าตาเฉย ทำให้สกอร์ยังคงเสมอกัน 0-0 ลองคิดดูหากจังหวะนั้นเจ้าตัวแม่นเป้าเกมอาจจะพลิกไปอีกด้านก็ได้
อย่างไรก็ตาม แมตช์ที่สนามเทิร์ฟ มัวร์ ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ ลูกากู กลับมาทำผลงานได้อย่างสุดยอด และโชว์ฟอร์มเหมือนกับที่เขาแสดงให้เห็นในการเล่นให้ทีมชาติเบลเยียม ศึกฟุตบอลโลก 2018 อดีตสตาร์เอฟเวอร์ตัน มีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ และ เบน มี นอกจากนี้ "บิ๊กลู" ยังสร้างความประทับใจจากการเล่นที่ชาญฉลาด และการเคลื่อนที่หาช่องว่าง
ในส่วนของจังหวะทำประตูต้องบอกได้เลยว่า ลูกากู คนเดิมกลับมาแล้ว สำหรับลูกแรกเป็นการแสดงให้เห็นถึงการโหม่งที่สุดยอด ส่วนประตูที่สอง หัวหอกชาวเบลเยียม โชว์ปฏิกิริยาที่รวดเร็วราวกับหมาป่าล่าเนื้อเมื่อวิ่งตามจังหวะซ้ำบริเวณหน้ากรอบ 6 หลาไม่เหลือซาก
แม้ว่า ลูกากู จะพลาดบวกสกอร์เพิ่มหลายจังหวะช่วงครึ่งหลังก็ตาม แต่ผลงานในแมตช์นี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเริ่มค่อยๆ กลับมาเล่นอย่างคงเส้นคงวา ส่วนในเรื่องสภาพร่างกายก็แข็งแกร่ง และนี่เป็นสิ่งที่จะทำให้เขางัดฟอร์มสุดยอดออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
3. ความไร้เดียงสาของ แรชฟอร์ด
มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงสนามแทน อเล็กซิส ซานเชซ ในช่วงนาทีที่ 60 และทำผลงานได้หวือหวาเมื่อเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ อย่างไรก็ตามเขาก็ทำเรื่องให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" ต้องหัวเสียจากพฤติกรรมแบบเด็กไม่รู้จักโตเมื่อไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้จนเป็นเหตุให้โดนใบแดงไล่ออกในนาทีที่ 71
แม้จะมีการออกโรงปกป้องว่า แรชฟอร์ด โดนเล่นงานจาก ฟิล บาร์ดสลี่ย์ ลูกหม้อเก่าของ "ผีแดง" เตะที่ขาหลังจากที่ปะทะกันที่ริมเส้นหลัง จริงๆ แล้วหากคิดทบทวนการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีสกอร์นำสองลูกพร้อมกับเหลือเวลาแค่ 20 นาที หากเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์ จะเดินหลบฉากจากสถานการณ์แบบนี้พร้อมกับรอยยิ้มแบบเย้ยๆ ให้คู่กรณีแค้นเล่น
แต่ แรชฟอร์ด ไม่ทำแบบนั้น เขาดันติดกับยั่วโมโหของคู่แข่ง ด้วยการตอบโต้กลับไปทันที ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ บาร์ดสลี่ย์ คาดหวังเอาไว้แล้ว และแค่การสัมผัสศีรษะกันของทั้งสองคน แต่ โจนาธาน มอสส์ ผู้ตัดสินมองว่า หัวหอกดาวรุ่ง "ผีแดง" ดูเหมือนเจตนาแสดงพฤติกรรมไร้น้ำใจนักกีฬา ทำให้เขาไม่รอช้าจัดการควักใบแดงไล่ออกทันที
สำหรับตอนนี้ แรชฟอร์ด คงโดนแบนแหงๆ 3 เกม ซึ่งถือว่าน่าเสียดายมากๆ เพราะไม่แน่ว่าหากเขาไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ในเกมแมตช์ต่อไปเจ้าตัวอาจจะระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาก็ได้ ใครจะไปรู้
4. ฟูลแบ็กพลังเทอร์โบ
สำหรับประเด็นนี้จะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายฟอร์มฮอต โดยนี่เป็นอีกเกมที่นักเตะได้รับคำชมอย่างมากจากผลงานที่สุดยอดเกินห้ามใจ เขาวิ่งเติมเกมด้วยพลังกำลังที่ไม่มีหมด โดยเฉพาะเกมรุก ชอว์ ช่วยสร้างความแตกต่างได้เป็นอย่างดีซึ่งสิ่งนี้ขาดหายไปนานในช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา
จังหวะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูแรก มาจากการประสานกับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย กับ ชอว์ จากนั้นก็ส่งให้กับ อเล็กซิส ซานเชซ ที่เปิดบอลอย่างแม่นยำให้ โรเมลู ลูกากู โหม่งเต็มกบาลปลดล็อกให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 26 ยังมีอีกหลายจังหวะที่ อดีตแข้ง เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ช่วยสร้างโอกาสให้กับทีม
หาก แบ็กซ้ายเลือดผู้ดี ยังคงเล่นได้อย่างโดดเด่นแบบนี้ แน่นอนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีเกมรุกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จากการเติมเกมบุกของ ชอว์
5. มารูยาน เฟลไลนี่ ไม่ทำให้ผิดหวัง
มารูยาน เฟลไลนี่ ได้รับโอกาสลงเล่นตัวจริงแทน เฟร็ด ที่ได้รับโอกาสจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ในช่วง 3 เกมแรกมาตลอด อย่างไรก็ตาม ดาวเตะเลือดเบลเยียม ไม่ทำให้ "เฮียมู" ต้องผิดหวังเมื่อเขาผลิตผลงานดีมีคุณภาพให้กับทีมตั้งแต่ต้นจนกระทั่งเสียงนกหวีดยาวหมดเวลา
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม มูรินโญ่ โน้มน้าวให้บอร์ดบริหารเก็บ มิดฟิลด์หัวฟู เอาไว้กับทีมต่อไป และฟอร์มการเล่นแบบนี้ทำให้บรรดานักวิจารณ์ค่อยๆ เงียบวาจา แน่นอนว่าการทำหน้าที่คุมแผนมิดฟิลด์ช่วยทำให้ ปอล ป็อกบา มีอิสระในการเล่นเกมบุกมากขึ้น และเป็นไปได้ว่า มูรินโญ่ อาจจะยึดระบบการเล่นแบบนี้ไปจนกระทั่งจบฤดูกาล และหากเป็นแบบนี้ เฟร็ด คงต้องเจอสถานการณ์ตึงเครียดแหงๆ
6. มูรินโญ่ ได้ใจเด็กผี
นอกจากฟอร์มการเล่นของทีมที่โดดเด่นแล้ว พฤติกรรมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็น่าประทับใจมากๆ เพราะหลังจบเกมนี้ นายใหญ่ชาวโปรตุกีส ได้เดินไปที่ด้านหลังประตูฝั่งที่มีสาวก "เร้ด อาร์มี่" เดินทางมาเชียร์ทีมรัก โดยเขาเดินข้ามป้ายโฆษณาเพื่อเข้าไปขอบคุณแฟนบอลที่ให้กำลังใจทีมในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
สำหรับพฤติกรรมแบบนี้ "เฮียมู" ก็เพิ่งจะทำในเกมแพ้ยับ สเปอร์ส 0-3 คาถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยขายืนปรบมือให้กับแฟนบอล "ปีศาจแดง" ที่ฝั่งอัฒจันทร์สเตรทฟอร์ด เอนด์ เพื่อเป็นการขอบคุณทุกๆ คนที่ยังพร้อมสนับสนุนทีมแม้จะทำผลงานได้น่าผิดหวังก็ตาม
แน่นอนว่าการกระทำแบบนี้ทำให้แฟนบอล แมนฯ ยูฯ ประทับใจมากๆ และได้ใจพวกเขาแบบเต็มร้อย ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขายังคงหนุนหลัง มูรินโญ่ แม้สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนจะตึงเครียดมากๆ โดยเฉพาะเรื่องอนาคตของเขาในการกุมบังเหียน "ผีแดง"
ทอมเม้ง
เว็บเดิมพันออนไลน์ ที่ดีที่สุด http://www.vegus18.com
Line ID : @okvegus
โพสต์โดย : ntty2002 เมื่อ 3 ก.ย. 2561 07:02:46 น. อ่าน 457 ตอบ 0